ถอดบทเรียนครูบิ๊ก กับการสร้างเด็ก 2-3 ภาษาของเจ้าขา (ตอน ไม่รู้ภาษานั้นเลยซักตัว ก็สอนลูกได้จริงๆนะ)

Posted by mom_jenita on May 24, 2011 at 3:00am มีข้อความและโทรศัพท์มาถึงภา ให้เขียนบล็อกภาษาจีนว่าถ้าพื้นฐานภาษานั้นเป็น 0 เค้าสอนกันยังไง คนว่างงานอย่างภา ก็เลยขอเขียนเล่าเรื่องราวซะหน่อย (ลองดูเวลาที่ภาเขียนดิ่ อิอิ) จริงๆ ตั้งใจไว้ตั้งแต่เริ่มสอนภาษาที่ 3 ให้เจ้าขาว่า วันไหนที่รู้สึกว่าเจ้าขาพูดได้พอสมควร (ไม่ต้องเก่งมาก แต่เป้าหมายคือพูดได้จากความรู้สึก เริ่มเล่าเรื่องราวและมีความสุขกับการเรียนภาษาจีน ภาจะเขียนบล็อกเพื่อแบ่งปันการเดินทางของบ้านเรา เหมือนที่เคยทำตอนฝึกภาษาที่ 2 ) ซึ่งจริงๆแล้วภาษาจีนที่ฝึกกันก็ใช้พื้นฐานการสอนไม่แตกต่างกับตอนที่ฝึกภาษาอังกฤษ ถ้าใครยังไม่ได้อ่านเชิญอ่านที่นี่นะคะ ใครไม่เก่งภาษาอังกฤษและสอนลูกตอนโต (ตอนพัฒนาตัวแม่) อันนี้ ตอน สอนลูกยังไงดีน้า เนื่องจากว่าตอนที่เราฝึกภาษาอังกฤษกัน ยังมีแค่หนังสือเล่ม 1 ออกมา ซึ่งเป็นหนังสือสร้างแรงบันดาลใจให้เรา แต่ยังไม่มีวิธีการเป็นขั้นตอนเหมือนเล่ม 2 ตอนนั้น เราใช้วิธีเดาๆ มั่วๆ วิธีของบ้านเรา จนสร้างเด็ก 2 ภาษามาได้แบบที่หลงทางบ้าง มีปัญหาโน่นนี่บ้าง จึงเห็นว่าถ้าเราได้แบ่งปันเส้นทางบ้านเรา ก็อาจจะมีประโยชน์ให้ทางของเพื่อนๆสั้นลงได้ หากนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับบ้านตัวเองนะคะ  แต่การฝึกภาษาที่ 3 ของเจ้าขาครั้งนี้ มีจุดแตกต่างจากภาษาที่ […]

ใครไม่เก่งภาษาอังกฤษ และสอนลูกตอนโต เชิญทางนี้ค่ะ (ตอนพัฒนาตัวแม่)

Posted by mom_jenita on August 16, 2009 at 4:25am เอาล่ะ….เข้าเรื่องกันซะที(ยาวหน่อยนะ แต่เป็นขั้นตอนที่เราทำมา ตลอด 5 เดือน)เป็นขั้นตอนสำหรับฝึกภาษาอังกฤษของคนที่ไม่เก่งให้ดีขึ้น และสอนลูกได้ด้วยค่ะ • ตอนแรกปรับทัศนคติของคุณก่อน เพราะเราสอนลูกตอนโต เราก็คาดหวังว่าเค้าจะรู้เรื่องมากกว่าเด็ก แต่จริงๆเค้าก็เหมือนเพิ่งเริ่มเรียนภาษาอังกฤษเหมือนเด็กๆ คุณสอนลูกพูดตอนเด็กยังไง กว่าเค้าจะพูดเป็นปี คุณพูดไปคนเดียวนานแค่ไหน อย่าลืมค่ะ ตัดความคาดหวังออกไป ความเครียดของคุณจะลดลง และมีแรงสู้เพื่อลูกค่ะ • ภาไม่ได้เลือกระบบ OPOL และเลือกไม่ได้ เพราะปัญหาแรกคือ เราไม่เก่งภาษาอังกฤษ พูดไม่ได้ตลอด และคุณพ่อณิตามีเวลาอยู่กับลูกน้อย เราไม่ได้กลัวปัญหาเรื่องณิตาพูดภาษาไทยไม่ได้ แต่เราต้องสอนอย่างอื่นและก็อยากพัฒนาการอ่าน การฟังภาษาไทย จากการอ่านนิทานไทยด้วย • เริ่มต้นจากปรับตัวเองให้เป็นคนที่ต้องการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เมื่อก่อนน่าจะยาก แต่ตอนนี้เรามีลูกเป็นแรงขับดันอยู่แล้ว ทำได้แน่นอน• เราเริ่มจากคำศัพท์ทุกคำที่เราเห็น พูดออกมา พูดทุกครั้งที่เห็น ให้ลูกได้ยิน ให้ตัวเองได้ยิน ถ้าเราไม่รู้ศัพท์คำนี้ (เชื่อว่ามีศัพท์เยอะมากในบ้านที่เราไม่รู้) ไปเปิดดู ไปหา เราจะได้ศัพท์ใหม่มากมาย ….การพูดทุกครั้งจะทำให้เราจำได้ […]

แม่เจ้ามีทุนน้อย แต่แม่คนนี้มีใจเกินร้อยที่จะให้เจ้า (พัฒนาการแม่และเด็กสองภาษาระยะเวาลา 4 ปี )

Posted by สริญญา เสาว์บุปผา on June 23, 2014 at 9:30am แม่เจ้ามีทุนน้อย แต่แม่คนนี้มีใจเกินร้อยที่จะให้เจ้า (พัฒนาการแม่และเด็กสองภาษาระยะเวาลา 4 ปี ) ที่เขียนขึ้นหัวข้อแบนี้เนื่องจากยากให้หลายๆครอบครัวได้เห็นว่า ไม่ว่าคุณจะมีทุนน้อยแค่ไหนคุณก็สามารถทำให้ลูกเป็นเด็ก 2 ภาษาได้ทุนน้อยในที่นี้หมายถึง ทุนทางภาษา ต้องขอบอกว่าแม่ฝนมีน้อยมากๆถ้ารวบรวมคำศัพท์ก่อนที่จะสอนลูกนั้นคงได้ไม่เกิน 50 คำ และทั้งหมดก็ออกเสียงผิดทุกคำนั้นหมายถึงว่าไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่จบจากนอกหรือคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีเยี่ยมก็สามารถสอนลูกได้ ทุนทรัพย์ แม่ฝนเป็นแค่พยาบาลเงินเดือนไม่มาก ฐานะปานกลางไม่ได้ร่ำรวยอะไร อาหารภัตตาคารหรูๆก็ทานได้นะค่ะแต่ไม่ได้บ่อย OT ไม่ค่อยได้ทำเพราะเลือกที่จะให้เวลากับลูกมากกว่า นั้นก็คือ อย่าไปคิดว่าต้องเป็นคนรวยเท่านั้นถึงจะทำได้ ทุนเวลา ถึงแม้ว่าแม่ฝนจะไม่ค่อยทำ OT มากกว่าพยาบาลอื่นๆแต่แม่ฝนก็ทำงานก็เลิกเย็นถึงมืดบางครั้งกลับบ้านไปลูกก็หลับแล้วต้องทำงานบ้านเองทุกอย่างไม่ได้จ้างซักผ้ารีดผ้านะค่ะ นั่นก็คือไม่ว่าคุณจะมีเวลาน้อยแค่ไหนคุณก็สามารถทำได้ เห็นมั้ยค่ะ !!! ใครๆก็สอนลูกได้ไม่อยากให้หลายๆครอบครัวที่ต้องการให้ลูกพูดสองภาษาได้แต่ไม่ได้ทำเนื่องจากคิดว่าตนเองมีอุปสรรคดังกล่าวอย่างที่แม่ฝนบอกมา ขอแค่คุณเริ่มทำ และทำตามที่หนังสือเด็กสองภาษาพ่อแม่สร้างได้ของผู้ใหญ่บิ๊กของเราเท่านั้น แม่ฝนรับรองค่ะ ว่าทำได้แน่นอน ^_^ ทำมา 4 ปีไม่มีคำว่าท้อ ค่ะ แม่ฝนมีพัฒนาการของลูกเป็นรางวัล มีหลายๆครั้งที่แม่ฝนได้รับคำสบประมาทจากคนรอบข้าง แต่แม่ฝนก็นำคำสบประมาทมาเป็นแรงพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นว่า ฉันทำได้นะ !!!! […]

เป็นพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว สอนลูกเป็นเด็กสองภาษาได้ไหม?

มีคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว (Single Dad) หรือคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว (Single Mom) ที่อยากจะสอนลูกเป็นเด็กสองภาษาอยู่พอสมควร ผมอยากจะตอบอย่างนี้ครับ… ถ้ามีเวลาน้อยในการอยู่กับลูก ความถี่คงได้ไม่เยอะ ผมแนะนำให้เลือกระบบหนึ่งเวลาหนึ่งภาษาในการสอน ไม่จำเป็นตอนสอนเยอะ เน้นปูพื้นฐานการออกเสียงให้ดีเป็นหลัก และยึดเรื่องความสุขระหว่างลูกกับพ่อแม่ครับ ถ้าคุณเข้าใจหลักอย่างลึกซึ้งและสอนแม่น อีกทั้งเด็กมีความพร้อมในการรับ ผมคิดว่าเด็กสามารถเป็นเด็กสองภาษาได้เช่นกัน พยายามพาเด็กไปยังพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมเอื้อในการคุยภาษาอังกฤษด้วยจะดีมา ถือว่าเป็นการช่วยเพิ่มปริมาณความถี่ให้กับเด็ก อย่างไรก็ตาม คนโดยส่วนใหญ่จะไม่เข้ามาขัดเกลาการเลียนแบบให้ลูกคุณ คุณจำเป็นต้องดูแลชิ้นส่วนนี้ด้วยตัวคุณเอง

มีลูกสองคน คนโตและคนเล็ก จะเริ่มสอนใครก่อนและสอนอย่างไรดี?

คำแนะนำ…ให้สอนคนเล็กก่อนครับและโฟกัสที่คนนี้เป็นจุดเริ่มต้น เพราะสอนได้ง่ายกว่า แรงต่อต้านมีน้อย เมื่อคุณเริ่มสอนคนเล็ก คนโตจะมองด้วยความสนใจว่า ทำไมพ่อแม่ถึงใส่ใจเรื่องสอนภาษาให้น้อง เมื่อเด็กโตเริ่มสนใจก็ดึงเขาเข้ามาร่วมในการฝึก และพยายามสร้างทัศนคติให้พี่ช่วยสอนน้อง โดยการพูดภาษาอังกฤษกับน้อง จะเป็นการช่วยเพิ่มปริมาณความถี่ได้มาก แต่ถ้าเหตุการณ์แตกต่างไปจากนี้ โดยพี่ไม่สนใจเลย คุณอาจจะต้องตัดสินใจเลือกโฟกัสไปที่คนใดคนหนึ่งครับ หรืออีกกรณีหนึ่งคือพี่มีความสนใจ ส่วนน้องดื้อ อย่างนี้ก็ต้องเริ่มฝึกจากพี่ และสร้างทัศนคติให้พี่ไปคุยกับน้องเป็นภาษาอังกฤษ และสอนน้องด้วยครับ

ลูกโตแล้ว ยังสอนให้เป็นเด็กสองภาษาทันไหม?

ไม่มีคำว่าสายสำหรับการสอนสองภาษาครับ เด็กเล็กหรือเด็กโตก็สามารถสอนได้เพียงแต่ว่ามีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องให้เหมาะกับวัยของเด็กแต่ละคน  มีพ่อแม่หลายครอบครัวที่ฝึกลูกเป็นเด็กสองภาษาตอนเด็กโต ไม่ว่าจะเป็นห้าขวบ หกขวบ ไปจนถึงสิบขวบ บางครอบครัว พ่อแม่เข้าใจหลักการดี ฝึกได้แม่นยำ เด็กไม่ต่อต้าน ทำให้ใช้เวลาไม่นานนักที่จะทำให้เด็กพูดสองภาษามาจากความรู้สึก และพูดได้ค่อนข้างเยอะ ตัวอย่างเช่นครอบครัวน้องขมิ้นกับพี่เมือง ตอนเริ่มฝึกน้องขมิ้นอายุ 5 ขวบ พี่ขมิ้น 7 ขวบ ในช่วงแรกของการฝึกคุณแม่น้องขมิ้นยังไม่แม่นในหลักการสอน สอนไปสักพักแล้วเลิก จากนั้นก็มาทำความเข้าใจให้ดีขึ้นแล้วสอนรอบที่สอง การสอนมีความแม่นยำขึ้น เด็กไม่ต่อต้าน เพียงระยะเวลาไม่นานนัก เด็กทั้งสองคนก็สามารถพูดสองภาษาได้ ดังนั้นถ้าสนใจเด็กสองภาษา อย่าปล่อยเวลาผ่านครับ มาเริ่มทำความเข้าใจแนวคิดเด็กสองภาษาและเริ่มฝึกกับลูกกันเลยครับ

พ่อแม่มีเวลากับลูกน้อยมาก จะสอนลูกเป็นเด็กสองภาษาได้ไหม?

ก่อนอื่นต้องนิยามกันก่อนว่าที่ว่ามีเวลาน้อยนี่ น้อยแค่ไหน?“สามชั่วโมงต่อวัน?” หรือ “สองชั่วโมงต่อวัน?”ถ้าคำตอบคือตัวเลขทำนองนี้ ผมอยากจะบอกว่าผมใช้เวลาพูดคุยกับลูก เพื่อฝึกเป็นเด็กสองภาษาเพียง “หนึ่งชั่วโมงต่อวัน” เท่านั้น เพียงแต่ทำทุกวันอย่างต่อเนื่องและทำอย่างถูกต้องตามหลักการ ก็สามารถสร้างลูกเป็นเด็กสองภาษาได้ครับ พ่อแม่ที่มีเวลาน้อย ผมอยากให้ศึกษาแนวคิดให้ลึกซึ้งเพียงพอ ผมอยากให้ฝึกเด็กอย่างแม่นยำ ยิ่งมีเวลาน้อยยิ่งต้องแม่น การสอนแต่ละครั้งต้องไม่สูญเปล่า แต่ถ้าคุณมีเวลาน้อยกว่านั้นและลูกต้องให้ตายายหรือปู่ย่าเลี้ยงเป็นส่วนใหญ่ ผมอยากให้เน้นความสุขของครอบครัวเป็นหลักครับ เรื่องภาษาให้เป็นรอง เน้นแค่พื้นฐานการออกเสียงให้ดี ที่เหลือทำเท่าที่จะทำได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นเด็กสองภาษา แต่ก็มีพื้นฐานการออกเสียงภาษาอังกฤษที่ดี ผมก็ว่าโอเคแล้วครับ ตอนนี้กำลังท้องอยากสอนลูกสองภาษา ควรจะเริ่มสอนตอนไหนดี เด็กเล็กที่สุดที่จะสอนได้เริ่มอายุกี่ขวบ?ถึงแม้ว่ายังอยู่ระหว่างการตั้งท้อง ก็เริ่มศึกษาแนวคิดเด็กสองภาษาได้เลย เพราะต้องเตรียมตัวพ่อแม่ในเรื่องแนวคิดในการสอน การฝึกพื้นฐานการออกเสียง หัดพูดคำ วลีและประโยค สิ่งเหล่านี้จะต้องใช้เวลา ดังนั้นไม่ต้องรอให้มีลูกก่อน และเมื่อน้องเกิดมาแล้ว ก็สามารถสอนได้ทันทีเลย เด็กจะใช้เวลากว่าปีในการสะสมทุกสิ่งที่อย่างที่คุณสอน ก่อนจะเปล่งเสียงแรกออกมา การสอนตั้งแต่ยังเล็กจะสอนได้ง่าย ไม่มีการต่อต้าน เพราะเขาไม่รู้ว่านี่คือภาษาแม่ หรือภาษาที่สอง กรณีของตัวผมเองนั้น เริ่มสอนลูกตั้งแต่แรกเกิดจนโต โดยใช้ระบบหนึ่งคนหนึ่งภาษา นั่นก็คือผมเลือกพูดภาษาอังกฤษกับลูกอย่างเดียว และแม่เลือกพูดไทยอย่างเดียวครับ

สอนสองภาษามาสักพัก ลูกเริ่มเข้าใจภาษาอังกฤษแต่ตอบกลับเป็นไทย ถือว่าโอเคไหม?

สถานการณ์แบบนี้มีให้เห็นบ่อยในการสอนลูกเป็นเด็กสองภาษา ถ้าพ่อแม่คิดว่าลูกเข้าใจในสิ่งที่พูดแล้ว แต่เด็กเงียบหรือตอบกลับเป็นไทย แล้วพ่อแม่ปล่อยผ่าน…นั่นก็ถือว่า “ยังใช้ไม่ได้” ทีนี้มาลองวิเคราะห์ให้ลึกลงไปอีกขั้น กรณีเด็กตอบกลับเป็นไทยนั่นแสดงว่าเด็กยังอยู่ในโหมดไทย ผมต้องการให้เด็กตอบให้ตรงโหมด ถามไทยตอบไทย ถามอังกฤษตอบอังกฤษ โหมดระหว่างคู่สนทนาต้องตรงกัน กรณีเด็กเข้าใจในสิ่งที่บอก..แต่เงียบ…ก็ถือว่าเด็กไม่ถูกกระบวนการขัดเกลาการเลียนแบบ…ต่อไปข้างหน้า เด็กอาจจะฟังรู้เรื่อง แต่จะพูดอังกฤษไม่ได้ การที่เด็กจะพูดจากความรู้สึกได้นั้น ขั้นตอนของการพูดจากความรู้สึกจะต้องครบถ้วน ถ้าคุณยังงงกับประเด็นนี้ให้วกกลับไปอ่านหัวข้อ “การพูดจากความรู้สึก เกิดขึ้นมาได้อย่างไร”

เด็กต่อต้าน ไม่ยอมพูดและเดินหนี ทำอย่างไรดี?

อันดับแรกต้องแยกก่อนว่าเหตุการณ์นี้เกิดกับเด็กเล็กหรือเด็กโต ในกรณีที่เป็นเด็กเล็กไม่เกินสามขวบ เมื่อมีการพูดสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคย เด็กอาจจะงงถึงการเปลี่ยนแปลงของโทนเสียง เขาอาจจะรู้สึกแปลกและกลัว เด็กก็จะเดินไปหาพื้นที่ปลอดภัยของเขาเอง เช่นไปหาคนในบ้านอีกคนที่พูดในสิ่งที่คุ้นเคย ถ้าเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นกับลูกคุณก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติครับ ให้ทำต่อไป แต่ต้องใจเย็นๆทำให้ถูกหลักการและต้องใช้เวลาสักนิดให้เด็กปรับตัว อย่าพยายามพูดเยอะ โดยเฉพาะพูดเป็นประโยค ให้พูดให้น้อย เน้นเป็นคำ หรือวลีง่ายๆ แล้วมีภาษาท่าทางประกอบทุกครั้ง ที่สำคัญ “ไม่แปล” ถึงแม้ว่าเด็กไม่เข้าใจ เพื่อบังคับให้เด็กตีความด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า กระบวนการเหล่านี้จะเป็นการสร้างโหมดภาษาที่สองให้กับเด็ก สำหรับเด็กโต…เช่นสี่ห้าขวบขึ้นไป เด็กเริ่มจะรู้เรื่องแล้ว…ก่อนที่จะสอนพ่อแม่จะต้องค้นหาแรงบันดาลใจของเด็กให้พบเสียก่อน ซึ่งอาจจะเป็นการไปเจอตัวละครที่เด็กชื่นชอบในต่างประเทศ เช่นแซนต้าครอส เจ้าชาย เจ้าหญิงในเทพนิยาย ซึ่งเด็กแต่ละคน ครอบครัวแต่ละครอบครัวจะมีเรื่องราวเหล่านี้แตกต่างกัน ให้ค้นหาให้พบ เมื่อเจอแล้วก็นำสิ่งนี้ไปผูกกับเงื่อนไขว่า พ่อแม่กำลังฝึกลูกพูดภาษาอังกฤษอยู่นะ เพราะไปต่างประเทศจะได้พูดคุยกันรู้เรื่อง ต้องให้เด็กยอมรับ และมีเป้าหมายในการทำ  ถ้าคุณไม่ผ่านเงื่อนไขตรงนี้แล้วฝืนทำ เด็กจะต่อต้านและไม่เอาในที่สุดครับ และสิ่งที่กล่าวมานี้ก็คือหลักข้อที่แปดของแนวคิดเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้…หาแรงบันดาลใจ ผูกกับเงื่อนไข

พูดอังกฤษไป รู้อย่างไรว่าตัวเองพูดถูก ทั้งการออกเสียงและไวยากรณ์

ผมอยากให้แยกคำถามนี้ออกเป็นสองประเด็น ประเด็นแรกเรื่องของการออกเสียง เรื่องนี้พ่อแม่ต้องศึกษาระบบการออกเสียงภาษาอังกฤษ ซึ่งมีหน่วยเสียงเพียง 40 เสียงเท่านั้น ผมอยากให้ใช้เวลาฝึกสักหน่อย สิ่งนี้จะทำให้เราเข้าใจเรื่องของการออกเสียงแต่ละคำว่ามันประกอบไปด้วยหน่วยเสียงอะไรบ้าง แล้วคำศัพท์นับแสนจะออกเสียงถูกได้อย่างไร เมื่อมีพื้นฐานของการออกเสียงที่ดีแล้ว ในเรื่องของไวยากรณ์ตามแนวคิดเด็กสองภาษา ไวยากรณ์จะอยู่ในความรู้สึก และความรู้สึกนั้นมาจากกระบวนการเลียนแบบและขัดเกลาระหว่างพูดนั่นเอง ดังนั้นจุดเริ่มต้นให้พ่อแม่กำหนดพื้นที่ปลอดภัยของตัวเองขึ้นมา ให้เริ่มต้นฝึกจากคำศัพท์รอบตัวก่อน จากนั้นค่อยไปเป็นวลี และไปเป็นประโยค สำหรับประโยคนั้น ผมอยากให้พ่อแม่ดูการ์ตูนที่สอดคล้องกับแนวคิดเด็กสองภาษา เช่นคายุ (Caillou) จากนั้นก็เลียนแบบการใช้ประโยคเหล่านั้น แล้วนำมาใช้กับลูกในสถานการณ์ที่สอดคล้องกับสิ่งที่พูดครับ เมื่อเริ่มต้นฝึกอย่างนี้ จะทำให้เรามั่นใจในเรื่องการออกเสียงมากขึ้น และประโยคที่ใช้ก็จำมาจากการ์ตูนที่มีการใช้จริงในสถานการณ์นั้นนั่นเอง สิ่งเหล่านี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เมื่อการพูดประโยคที่ต่างไปจากที่ฝึกมา ก็เป็นไปได้ว่าจะมีการใช้คำที่ผิดไปบ้าง แต่ถ้ารู้เรื่องนี้เราก็จะต้องคอยตรวจสอบ แล้วแก้ไขให้ดีขึ้นในที่สุดครับ ซึ่งหนึ่งในชุมชนที่อาศัยภูมิปัญญาพวกเราในการช่วยกันขัดเกลาแก้ไขการใช้คำและประโยคให้ถูกต้อง ก็คือ “ห้องภาษาอังกฤษ” ในเว็บสองภาษานั่นเอง ผมเชื่อว่าที่นี่เป็นชุมชนการตอบปัญหาภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไปแล้ว

1 34 35 36 37 38 40