น้องเจ้าขา

“รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้มาเจอหนังสือเด็กสองภาษาพ่อแม่สร้างได้ ถ้าไม่มีหนังสือเล่มนี้และเว็บ 2pasa.com ก็คงไม่มีวันที่จะสอนลูกให้พูดภาษาอังกฤษได้เหมือนทุกวันนี้แน่นอนและคงจะรู้สึกเสียดายมาก ถ้าได้อ่านแล้วไม่ได้ลงมือปฏิบัติ เพราะสิ่งที่ลูกเป็นทุกวันนี้ ถึงแม้ว่ายังมีหลายอย่างที่ต้องพัฒนากันต่อ แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากๆเลยค่ะ ขอบคุณคุณบิ๊ก พี่ตุ๊กตา น้องเพ่ยเพ่ย ที่หาเส้นทางลัดมาให้เราเดินตามหลัง ดีใจที่ได้มีโอกาสสร้างลูกเป็นเด็กสองภาษาค่ะ”

ความในใจแม่น้องเจ้าขา

น้องเจ้าขา
ครอบครัว: ประพาศพงษ์
อาศัยอยู่จังหวัด: ขอนแก่น

ก่อนหน้านี้สอนภาษาแบบ: สอนเป็นศัพท์ แต่พอเด็กเริ่มพูด ก็หยุดไปเพราะไม่รู้จะสอนอย่างไรต่อ
เริ่มฝึกระบบเด็กสองภาษา ตอนเด็กอายุ: 2 ขวบ 5 เดือน ซึ่งพูดไทยเก่งแล้ว
ระยะเวลาสอน จนเป็นเด็กสองภาษา: 6 เดือน

ระบบที่เลือกใช้: หนึ่งเวลาหนึ่งภาษาแล้วปรับมาเป็นระบบหนึ่งคนหนึ่งภาษา โดย แม่เป็นคนพูดภาษาอังกฤษ พ่อพูดไทย

เสี้ยวเวลาที่ลูกโต้ตอบกลับมาเป็นภาษาที่สองได้ รู้สึกอย่างไร: “ดีใจมาก เราทำได้ด้วยหรือนี่ พอมาถึงจุดนี้ก็เลยคิดว่าทุกคนทำได้ ขอให้มุ่งมั่นและทำเรื่อยๆ”

ระดับภาษาอังกฤษของแม่: ลืมและคืนครูไปเกือบหมด ทำให้ต้องรื้อฟื้นกันใหม่

อุปสรรคตอนต้น:

  • นึกประโยคภาษาอังกฤษที่จะพูดไม่ออก
  • ทำงานหนัก มีเวลาน้อย เลี้ยงลูกกันเอง ไม่มีพี่เลี้ยง

การแก้ไข:

  • เริ่มต้นปรับตัวเองให้เป็นคนเรียนรู้ตลอดเวลา ใช้เวลาที่เหลือกลางคืนในเรียนรู้เพิ่ม

พัฒนาการ:

  • เดือนที่หนึ่งและสอง สอนศัพท์ทั้งคำนาม กริยา พูดวลี เล่นบทบาทสมมติเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันสั้นๆ
  • เดือนที่สาม ลูก เริ่มใช้คำถาม “What’s this?” “What’s that?” กับทุกอย่างที่อยู่รอบตัวและเริ่มพูดแสดงความต้องการหรือไม่ต้องการของตัวเอง เช่น “I want to play outside.” “ I don’t want to go with daddy.” พูดประโยคตามที่เคยได้ยินจากแม่ เริ่มอ่านนิทานและเล่านิทาน โดยจำประโยคที่แม่เคยอ่านมาเล่า
  • เดือนที่สี่ เริ่มเอาคำถามที่แม่เคยถาม หรือเคยอ่านนิทาน มาถามแม่ เช่น “What’re you doing?” “Where are you going?”
  • ตอบคำถาม “What , Which, Where , Who” ได้เยอะขึ้น และซับซ้อนมากขึ้นได้ เข้าใจคำถาม “Why” เริ่มสร้างประโยคของตัวเอง และพูดภาษาอังกฤษเกือบตลอดทั้งวันในวันที่อยากพูด (ตอนแรกแม่ยังไม่ได้พูด 100%)
  • เดือนที่ห้า เด็กนั่งเล่นคนเดียว พูดประโยคภาษาอังกฤษได้ยาวมากขึ้นซึ่งเป็นเดือนที่เห็นความเปลี่ยนแปลงค่อนข้างชัด เริ่มใช้คำถาม “Why” แบบพยายามสร้างประโยคของตัวเอง เช่น “Why don’t they go, mommy?” “Why did you say………?” แบบยังไม่ถูกต้องมากนัก
  • เดือนที่หก เริ่มมีความคิดขัดแย้ง เมื่อแม่ถามคำถามและแม่ตอบคำถามแทน เริ่มใช้ประโยค “I think..” เพื่อแสดงว่าคิดแตกต่าง และสร้างประโยคของตนเองเยอะขึ้น มีการเริ่มเล่าเรื่องตามจินตนาการของตัวเองโดยดัดแปลงนิทานที่แม่อ่านมาเป็นบทพูดของตัวเอง และเริ่มวาดรูปที่มีท่าทางแบบเรียงลำดับเหตุการณ์พร้อมทั้งบรรยายรูปเป็นภาษาอังกฤษ เช่น วาดรูปคน เด็กก็จะพูดว่า “Mommy, he is a man. This is his arm. This is his body.” ไล่เรื่อยๆ “Ear eye nose mouth…..Mommy,he has many legs. When he smiles. He has dimple like me. Mommy, now he feels sad. He is crying.”
  • เดือนที่เจ็ด แม่พูดภาษาไทยตอนดุ เมื่อแม่ถามกลับแต่ลูกยังตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษกับแม่ด้วยความเคยชิน แม่เริ่มพูด 100% และลูกพูดกับแม่เป็นภาษาอังกฤษ 100% พอเริ่มออกไปข้างนอกก็จะมีคนเข้ามาถามบ่อยๆว่า น้องพูดไทยได้มั้ย และมีคนเข้ามาถามวิธีการสอนเยอะมาก แม่จึงแนะนำหนังสือและบอกวิธีการ แต่หลายคน (แทบทุกคน) มักบอกว่า “เราไม่เก่ง ลูกต่อต้าน ทำไม่ได้หรอก” ถึงแม้ว่าแม่จะพยายามบอกว่า “ทำได้ ไม่เก่งเหมือนกัน”
  • เดือนที่แปดแม่สามารถสอนอ่านไทย นับเลขไทย อ่านนิทานไทย โดยที่ลูกยังคุย ถามตอบเกี่ยวกับเนื้อเรื่องนิทานเป็นภาษาอังกฤษ แก้ปัญหาพ่อมีเวลาน้อยในการสอนภาษาไทยไปได้และลูกได้พัฒนาทั้งไทยและอังกฤษ และยังสื่อสารกับแม่เป็นภาษาอังกฤษอยู่ 100%

คำแนะนำเกี่ยวกับการสร้างเด็กสองภาษา: ความรู้สึกของแม่ที่คิดว่าตัวเองไม่เก่งภาษาอังกฤษ หรือว่าไม่มีเวลาเท่ากับแม่ที่อยู่บ้านเลี้ยงลูกเต็มเวลา ขอให้เชื่อว่าต้องทำได้ และลองทำดู ใช้เวลาเท่าที่มีอยู่ให้เป็นเวลาคุณภาพ คิดว่าไม่ใช่สิ่งที่ง่าย แต่ก็ไม่ยากจนเกินไป แล้วเมื่อมองย้อนกลับไปจะรู้สึกว่ามันคุ้มค่าเหลือเกินที่ได้ทำ

วิเคราะห์: คุณแม่น้องเจ้าขาก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่แม่ “ไม่เก่งอังกฤษ” และ “ไม่มีเวลา” แต่มีความมุ่งมั่นในการสร้างเด็กสองภาษา โดยใช้เวลาเท่าที่มี เริ่มต้นแบบง่ายที่สุดก่อน โดยเลือกระบบหนึ่งเวลาหนึ่งภาษา ทำเท่าที่จะทำได้ จากนั้นเมื่อเริ่มเครื่องติด ก็เพิ่มความเข้มข้นไปเรื่อยๆ ไม่ต้องคาดหวังมากนัก ทำด้วยความสนุกและความสุขกับลูก พอเวลาผ่านไป หันมาดูอีกที ก็พบว่าคุณแม่พูดอังกฤษกับลูกเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นเรื่องที่แม่ไม่ได้คิดมาก่อนว่าจะมาถึงจุดนี้ได้