น้องเรน

โลกยุคดิจิตอล2013 ภาษาอังกฤษเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการใช้เพื่อการสื่อสารทั่วโลก เอ๋ดีใจมากที่ตัวเองเชื่อมั่นว่าแนวคิดเด็กสองภาษาพ่อแม่สร้างได้(แม้จะไม่เก่งภาษาอังกฤษก็ตามที) สามารถทำให้เป็นจริงได้และตอนนี้ลูกทั้งสองคนกลายเป็นเด็กสองภาษาได้จริง

หากตอนนั้นเอ๋ปล่อยเวลาผ่านไปเพราะคิดว่าตัวเองไม่เก่งพอที่จะสอนลูก ตอนนี้คงเสียใจมากๆเลยค่ะ ขอบคุณจากใจจริงค่ะคุณบิ๊กที่เผยแพร่แนวคิดเด็กสองภาษาให้แก่ครอบครัวมากมายและสร้างความเชื่อมั่นว่าพ่อแม่จะสามารถสอนลูกตัวเองให้เป็นเด็กสองภาษาได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินเรียนแพงๆตามสถาบันต่างๆ คุณบิ๊กทำให้หลายครอบครัวที่ไม่มีเงินพอที่จะส่งลูกเรียนรร.สองภาษามีความหวังว่าจะทำให้ลูกพูดภาษาอังกฤษได้ด้วยตัวเอง มันน่าทึ่งมากเลยค่ะสำหรับแนวคิดนี้

ความในใจแม่เอ๋ น้องเรน



ครอบครัวน้องเรน-เคนตะ
ชื่อพ่อ: นายแพทย์จีระเดช ไชยรา
ชื่อแม่: แพทย์หญิงจันทนา ไชยา (เอ๋ – คนให้สัมภาษณ์)
ชื่อลูก: น้องเรน ด.ช.คุณากร ไชยรา อายุ 6 ปี
น้องเคนตะ ด.ช.พัทธดนย์ ไชยรา อายุ 3 ปี
อาศัยอยู่จังหวัด: จังหวัดปทุมธานี

รู้จักแนวคิดเด็กสองภาษาได้อย่างไร แล้วทำไมถึงสนใจแนวคิดนี้?
เอ๋ได้รู้จักแนวคิดเด็กสองภาษาจากเพื่อนสนิทของสามี (คุณหมอภา) เราสองคนได้เห็นน้องเจ้าขาผ่านคลิปวีดีโอที่คุณหมอภาได้อัพโหลดไว้ ตอนนั้นน้องเจ้าขาอายุได้ 3 ปี น้องสามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว จึงทำให้เอ๋ตัดสินใจที่จะลองสอนน้องเรนดูบ้างค่ะ และหลังจากเอ๋ได้อ่านหนังสือเด็กสองภาษาพ่อแม่สร้างได้ เล่มที่หนึ่งทำให้เราสองคนเชื่อว่าแนวทางนี้จะสามารถทำให้น้องเรนเป็นเด็กสองภาษาได้อย่างแน่นอนค่ะ

ระบบที่เลือกใช้ฝึกแล้วทำไมถึงเลือกใช้ระบบนี้?
เอ๋เลือกระบบหนึ่งคนหนึ่งภาษาค่ะ เอ๋รับหน้าที่สอนภาษาอังกฤษ ส่วนสามีก็รับหน้าที่ภาษาไทยไปค่ะ เอ๋เลือกระบบนี้เพราะคิดว่าจะทำให้ลูกสามารถเรียนรู้ภาษาได้เร็วขึ้นค่ะ

เริ่มต้นอย่างไรแล้วเจออุปสรรคอะไรบ้าง แก้ปัญหาอย่างไร?
เอ๋เริ่มต้นจากการอ่านหนังสือเด็กสองภาษาพ่อแม่สร้างได้เล่มที่หนึ่ง และได้เข้าเว็บไซต์เด็กสองภาษาไปอ่านข้อมูลต่างๆที่แต่ละครอบครัวใช้ในการสอน เรียนภาษาอังกฤษผ่านห้องภาษาอังกฤษ ช่วงแรกๆเอ๋ใช้วิธีท่องจำประโยคที่จะใช้พูดกับลูกทุกคืน ประโยคแรกๆก็มาจากในหนังสือเล่มแรกของคุณบิ๊กค่ะ

เอ๋เริ่มต้นสอนน้องเรนตามที่หนังสือบอกไว้ เริ่มจากคำศัพท์ต่างๆที่อยู่รอบตัวเรา เวลาพูดก็จะหยิบของสิ่งนั้นมาให้ลูกดูด้วย และทำอย่างนี้ทุกครั้งที่เราเห็นมัน ระหว่างนั้นเอ๋ก็จะพยายามพูดประโยคในชีวิตประจำวันต่างๆที่ได้ท่องมาด้วยค่ะ สิ่งที่เป็นอุปสรรคสำคัญคือตัวเอ๋เองที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษ ทำให้ช่วงแรกที่สอนลูก มีความกดดันมาก บางครั้งพูดไม่ออกเพราะนึกคำศัพท์ไม่ออก เครียดมากๆกับการสอนเพราะความที่เราคาดหวังมากเกินไป

แต่หลังจากที่ได้เข้ามารู้จักเพื่อนๆในเว็บสองภาษาและคุณบิ๊กก็ทำให้เริ่มเข้าใจมากขึ้นว่าเราควรสอนแบบค่อยเป็นค่อยไปอย่าเร่งทั้งลูกและตัวเราเองถ้ายังไม่พร้อม เอ๋ได้กำลังใจมากมายผ่านเว็บสองภาษาแห่งนี้ทำให้เอ๋ยืนหยัดสอนลูกด้วยแนวคิดนี้มาจนถึงปัจจุบัน เอ๋ขอเล่าวิธีการสอนเด็กสองภาษาที่เอ๋คิดได้ณ ตอนนั้นหลังจากได้อ่านหนังสือเล่มแรก ไว้เป็นข้อๆ ดังนี้นะคะ
1.สอนคำศัพท์รอบๆตัว คือทุกอย่างที่เห็น เอ๋จะชี้และบอกลูก รวมถึงเวลาออกไปข้างนอก เช่นตลาด ก็เป็นแหล่งการสอนคำศัพท์ที่ดีทีเดียวค่ะ
อุปสรรคคือเอ๋ไม่รู้คำศัพท์ทุกตัว และไม่สามารถเช็คเสียงได้ตลอดเวลาจึงไม่รู้ว่าอ่านผิดอ่านถูก ตอนนั้นเอ๋ไม่ได้สนใจหรือรู้จักเรื่อง Phonics หรือ Phonetic เลย ไม่รู้ว่าสมัยเรียนหนังสือครูไม่ได้สอนหรือเราจำไม่ได้เองหรือเปล่าค่ะ จึงอ่านตามที่เราคุ้นเคยมาเช่นคำว่า vegetable เอ๋ก็อ่าน “เวด-เจด-เท-เบิ้ล” จริงๆไม่ได้อ่านแบบนั้น หรือคำว่า crocodile เอ๋อ่านว่าครอก-โค-ดาย ซึ่งก็ผิดอีก

เอ๋เพิ่งมาเข้าใจเรื่องพวกนี้หลังจากได้มีโอกาสไปเข้าเวิร์คชอปของคุณบิ๊กเรื่องการออกเสียง และจากการได้ร่วมเล่นการ์ดเกมส์ จึงทำให้ทราบว่าเราออกเสียงผิดหลายคำทีเดียว เป็นจุดเริ่มต้นให้เอ๋เริ่มศึกษาเรื่อง Phonics และ Phonetic อย่างจริงจังค่ะ การสอนที่ถูกต้องตั้งแต่ครั้งแรกจะทำให้เราสอนลูกได้ง่ายขึ้นนะคะ เป็นเรื่องที่สำคัญมากเพราะเมื่อเด็กจำสิ่งที่สอนได้แล้วยากที่จะแก้ไขหากสิ่งที่สอนไปไม่ถูกต้องค่ะ

2.เอ๋เริ่มรื้อฟื้นเนื้อหาทุกอย่างเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ ผ่านหนังสือ เว็บไซต์ต่างๆ และห้องภาษาอังกฤษในเว็บสองภาษา
3.ท่องจำประโยคต่างๆในชีวิตประจำวันเริ่มต้นจากท้ายบทในหนังสือเด็กสองภาษาเล่มที่หนึ่ง และจากในห้องภาษาอังกฤษ แล้วนำมาใช้พูดคุยกับลูก รวมถึงการซื้อการ์ตูนที่คุณบิ๊กแนะนำไว้ในหนังสือทุกเรื่อง แบบว่าคุณแม่เอาจริงค่ะ ซื้อทุกเรื่องโดยที่ไม่ได้ดูก่อนเลยว่าลูกจะชอบหรือเปล่าค่ะ เอ๋แปลงไฟล์ลง mp3 เปิดฟังกันตลอดเวลา และดูการ์ตูนเวลาว่างๆที่เห็นเป็นประโยชน์มากๆก็คือการ์ตูน Calliou ค่ะหลายครั้งที่เอ๋นั่งจดประโยคในนั้นมาฝึกพูดกับลูก ขอแนะนำว่าให้พูดตามที่ได้ยินไปเลยนะคะ มันอาจดูเว่อร์ไปบ้าง แต่นั่นคือการพูดจริงๆมันต้องมีทั้งเสียงสูงต่ำ ใช่ไหมคะ เรากำลังสอนลูกพูดไม่ได้สอนอ่านค่ะ

4.ทำทุกอย่างที่ว่ามาซ้ำทุกวัน เพราะกิจกรรมที่ทำกับลูกเช่น ตื่นนอน อาบน้ำ แปรงฟัน ทานข้าว เราต้องทำทุกวันอยู่แล้ว ก็ใช้ประโยคเหล่านี้ที่ท่องจำมาทุกวัน จากที่เคยต้องดูโพย พูดติดๆขัดๆ ก็เริ่มพูดคล่องขึ้น พูดได้ยาวขึ้น และในที่สุดก็พูดแบบไม่ต้องคิดแปลภาษาไทยในสมองก่อน ถ้าทำได้แปลว่าคุณเริ่มเป็นผู้ใหญ่สองภาษาเหมือนลูกแล้วค่ะ
5.ห้ามแปล ตามที่คุณบิ๊กบอก อันนี้ขอบอกว่าทุกวันนี้บางครั้งก็แอบแปลนะคะกับประโยคหรือคำศัพท์ที่ซับซ้อน เพราะเมื่อลูกโตขึ้น ไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนมันมีหลายวิชาใช่ไหมคะ บางวิชาเป็นศัพท์เฉพาะทาง เราไม่เก่งภาษาอังกฤษก็มีแปลบ้าง แต่ถ้าสอนทั่วๆไป พยายามไม่แปลดีที่สุดค่ะ ใช้การแปลแบบเห็นของจริงเลยหรืออธิบายด้วยท่าทาง หรือสื่ออิเลคโทรนิกจากอินเตอร์เนตก็เป็นอีกทางเลือกนึงค่ะ
6.เลิกอายที่จะพูดภาษาอังกฤษกับลูกนอกบ้าน เลิกสนใจไวยากรณ์ไปชั่วขณะหากคุณอยากที่จะพูดได้

สรุปแล้วเอ๋พยายามตีความหนังสือคุณบิ๊กและปฏิบัติตามให้ได้ใกล้เคียงที่สุด และพัฒนาภาษาอังกฤษตัวเองไปพร้อมกันค่ะ ผ่านไปหนึ่งเดือน น้องเรนเริ่มพูดคำศัพท์บางคำที่เขาจำได้ค่ะ เช่น milk cat dog หลังจากนั้นประมาณ3เดือนน้องเรนก็เริ่มพูดวลีสั้นๆเช่น drink milk , play ball บางครั้งก็พูดไทยปนอังกฤษค่ะ สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทำคือการประคับประคองการพูดภาษาอังกฤษของลูก ช่วยแก้ไขและเติมประโยคที่สมบูรณ์ให้กับลูกรวมถึงการให้ความใส่ใจกับการออกเสียงที่ถูกต้องโดยเฉพาะเสียงท้ายคำเช่น milk ต้องมีเสียงท้ายทุกคำ ออกเสียงดังๆเว่อร์ไปเลยช่วงแรกให้ลูกได้ยินชัดๆค่ะ พอเขาโตขึ้นก็จะปรับลดโทนเสียงได้เอง จากประสบการณ์ที่สอนน้องเรนมาค่ะ

น้องเรนเริ่มพูดเป็นประโยคยาวๆได้หลังจากที่สอนน้องไปได้ 6 เดือน เรนเริ่มพยายามที่จะพูดโต้ตอบเอ๋ ถึงแม้บางครั้งก็พูดไทยปนอังกฤษบ้างเวลาที่ไม่รู้คำศัพท์ เวลาถามภาษาอังกฤษก็ตอบเป็นอังกฤษ ถามไทยก็ตอบไทย เป็นสัญญาณที่ดีค่ะว่าน้องเริ่มเข้าโหลดสองภาษาแล้ว

ปัจจุบันผ่านมา 3 ปีกว่า ทุกวันนี้เราสองคนยังคุยโต้ตอบภาษาอังกฤษกันอยู่เป็นประจำ บางครั้งก็พูดภาษาไทยกัน แต่จะสังเกตได้ว่าเรนมักจะเริ่มภาษาอังกฤษก่อนเพราะถนัดมากกว่า เรนสามารถเล่าเรื่องราวต่างๆที่พบเหตุการณ์เป็นภาษาอังกฤษได้ เปลี่ยน tense ได้เองตั้งแต่ยังไม่เรียนไวยากรณ์ บางครั้งก็มีแซวคุณแม่พูดผิด เพราะน้องเรนตอนนี้ภาษาอังกฤษไปไกลกว่าแม่แล้วจากการเรียนหนังสือที่โรงเรียนกับครูต่างชาติ

ตอนนี้เอ๋มีลูกคนที่สองแล้วชื่อน้องเคนตะ เอ๋เริ่มปฏิบัติการเด็กสองภาษากับเคนตะตั้งแต่อายุ 1 ปีครึ่ง ใช้วิธีเดียวกันกับเรน แต่เคนตะโชคดีกว่าเรนที่มีพี่ชายช่วยเพิ่มความถี่ของภาษาอังกฤษเพราะเอ๋สั่งน้องเรนว่าให้พูดภาษาอังกฤษกับเคนตะตลอดเวลา เพราะเป้าหมายของเอ๋คือต้องการให้ลูกใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการสื่อสาร

นี่คือปัญหาใหญ่ของเอ๋ที่ต้องแก้ไข อยากฝากไว้เป็นตัวอย่างกับเพื่อนๆที่กำลังสอนลูกอยู่ค่ะว่าความถี่มีผลต่อการสอนจริงๆค่ะ เพราะฉะนั้นอยากให้เพื่อนๆใจเย็นๆ ค่อยๆทำไปอย่างช้าๆไม่ต้องรีบร้อน แต่ขอให้ทำสม่ำเสมอ ถึงเวลาที่ลูกพร้อมเมื่อไหร่ ลูกจะพูดออกมาเองค่ะ

ระยะเวลาสอนจนเด็กเริ่มพูดโต้ตอบกลับเป็นภาษาที่สองอย่างเป็นธรรมชาติ?
น้องเรนใช้เวลา 6 เดือนเริ่มพูดโต้ตอบค่ะ สำหรับเคนตะใช้เวลา 1 ปีครึ่ง (ตอนนี้เคนตะอายุ 3 ปี) เริ่มพูดถามตอบได้แต่ประโยคยังไม่สมบูรณ์ตามพัฒนาการช่วงวัยของเขาและตามคลังศัพท์ที่มีค่ะ

ระดับภาษาอังกฤษของพ่อแม่ตอนเริ่มสอนเป็นอย่างไร มีความมั่นใจแค่ไหนในการสอนลูก?
ระดับภาษาอังกฤษของคุณแม่ถือว่าแย่ละกันนะคะเพราะไม่เคยออกเสียงท้ายเลย ไม่เคยเข้าใจการแยกเสียง L และ R มาก่อนและอื่นๆอีกมากมาย การฟังก็ไม่ดีค่ะ ความมั่นใจในการสอนช่วงแรกน้อยมาก เครียดกดดัน และอายเพราะหลายคนเข้าใจว่าเรียนหมอแล้วต้องเก่งทุกเรื่อง ขอยืนยันว่าไม่ทุกเรื่องจริงๆค่ะ ความมั่นใจเพิ่มขึ้นตอนที่เราเริ่มศึกษาจริงจังและกล้าที่จะพูดมากขึ้นเพราะเรามั่นใจว่าเราพูดออกเสียงถูกต้องแล้ว

เสี้ยวเวลาที่ลูกโต้ตอบกลับมาเป็นภาษาอังกฤษได้รู้สึกอย่างไร?
เอ๋ดีใจมากๆเลยค่ะ มีกำลังใจอ่านหนังสือดึกๆทุกคืนเพราะต้องรอลูกหลับก่อน และแอบชื่นชมลูกและตัวเองว่าเราก็ทำได้เหมือนครอบครัวอื่นๆที่ทำสำเร็จไปแล้วเหมือนกัน นี่แหละคือเวลาของเราบ้างแล้ว

อยากให้เล่าประสบการณ์ดีๆที่เกิดขึ้นในช่วงที่สอนลูกเป็นเด็กสองภาษา?
สิ่งที่ได้รับกลับมาจากการสอนลูกให้เด็กสองภาษาคือเอ๋ก็ได้เปลี่ยนตัวเองเป็นผู้ใหญ่สองภาษาเหมือนกัน เดี๋ยวนี้กล้าที่จะคุยกับฝรั่งมากขึ้น ซึ่งมีผลต่องานที่ทำมากๆ เอ๋สามารถโต้ตอบคนไข้ต่างชาติได้คล่องแคล่วขึ้น ลูกสอนให้แม่รู้จักความอดทนรอคอย ให้มีความเพียรพยายามทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ เอ๋ได้พบกับเพื่อนใหม่และมิตรภาพดีดีในเว็บสองภาษามากมาย เอ๋มีความสุขมากๆที่ได้เห็นลูกสองคนคุยกันเป็นภาษาอังกฤษถึงแม้ว่าจะยังไม่สมบูรณ์เต็มร้อย

คำแนะนำและความคิดเห็นอื่นๆให้กับพ่อแม่ท่านอื่นในการสอนสองภาษา?
เวลาที่เราได้ตัดสินใจสอนลูกให้เป็นเด็กสองภาษา แล้วตัวเราเองไม่เก่งภาษาอังกฤษด้วย เอ๋อยากให้ทุกๆคนอย่าท้อถอยนะคะ เอ๋เป็นคนนึงที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษเลย ทักษะการฟังพูดก่อนหน้าที่จะสอนลูกค่อนข้างแย่ตามที่บอกไปว่าไม่เคยรู้จักPhonics และ Phonetic มาก่อน ใช้วิธีอ่านตามที่เห็นและคุ้นเคย ซึ่งภาษาอังกฤษมีหลายคำที่ไม่ได้อ่านตามที่เขียน สิ่งเหล่านี้เราเรียนรู้กันได้ แค่เราต้องพยายามที่จะพัฒนาตัวเองให้ได้ค่ะ เราอยากให้ลูกพูดภาษาอังกฤษได้เราก็ต้องทำให้ลูกเห็นก่อนว่าเราก็พูดได้เหมือนกันใช่ไหมคะ ไม่มีอะไรเกินความสามารถของมนุษย์เราแค่ต้องพยายามและอดทน เวลาเอ๋มีปัญหาในการสอนลูกเอ๋ก็ได้เพื่อนๆในเว็บสองภาษานี่แหละค่ะที่คอยให้กำลังใจ และแบ่งปันความรู้กันมาตลอดถึงฝ่าฝันอุปสรรคมาได้ถึงตอนนี้

ขอยกประโยคที่คอยเตือนใจเอ๋เสมอมาให้เพื่อนๆอ่านนะคะ “There is no limit to what you can do if you try.”