+ + อ่านเด็กสองภาษาฯ ฉบับ Phonics แล้วย้อนดูตัว (เหมือนคราวที่แล้วเลย) + +

Posted by MaMa n’JaY on March 25, 2011 at 11:00pm

:::: MaMa n’JAY Diary :::: March 25, 2011 ::::

ตั้งแต่ไปซื้อหนังสือเด็กสองภาษาฯ เล่ม 3 มาและได้นั่งอ่านจนจบ ….
จะบอกว่า ทำให้เราต้องย้อนดูตัวเอง (อีกแล้ว) เหมือนคราวที่แล้วเลย 555555+
แล้วก็เจอจุดบกพร่องของตัวเองอีก (เยอะ) แต่ในทางที่ดีก็มีเหมือนกัน นั่นก็คือ
ได้ความรู้เพิ่มเติมเรื่อง Phonics และได้รู้จักเว็บดี ๆ ให้เรากะน้องเจได้ไปฝึกออกเสียง
เล่นเกมส์ เพิ่มศัพท์ ฯลฯ กันได้อีก … เพลินไปแล้ว …. น้องเจของมะม๊า!

จากที่ได้อ่านเปิดใจ 10 ครอบครัวสองภาษา ก็เลยทำให้ย้อนดูตัวเองอีกว่า
ทั้ง ๆ ที่เราก็เป็นคนที่เขียนบล็อคนู่นนี่นั่น เล่านู่นเล่านี่บล็อคประจำ
แต่ไหง …. ไม่เคยได้ตอบคำถามตัวเองหรือบันทึกอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันเลย
(มีแต่เล่าแบบเอามันส์เอาฮา .. หาสาระไม่มี 555+)
วันนี้เลยถือโอกาสขอเอาคำถามตรงนั้น (แค่) บางข้อมาลองตอบตัวเองซักครั้ง
เอาไว้เตือนใจในการปรับปรุงการสอนให้น้องเจบ้างก็น่าจะดี 🙂

เริ่มกันเลยดีกว่า ….

ก่อนหน้านี้สอนภาษาอังกฤษแบบใด
จำได้ว่าเริ่มจากเปิดซีดีฟังเป็นคำให้ฟัง เวลาอุ้มน้องเจจะพูดเป็นศัพท์ง่าย ๆ
สลับกับพูด A-Z, 123, กขค, สี, นับนิ้ว, ฯลฯ บางทีก็พูดแนะนำตัวน้องเจให้ลูกฟัง
เป็นภาษาไทยสลับกับภาษาอังกฤษวันเว้นวัน (ก็มีคนว่าเหมือนกัน .. “แม่บ้า” 555+)
แต่เราก็ไม่ได้สนใจใครว่าเท่าไหร่ (จะสนใจทำไมล่ะเน๊อ … ก็อาม่าน้องเจเองแหละที่บ่น
เค้าว่าเค้ากลัวน้องเจเครียดแต่เด็ก … จะยัดอะไรนักหนา) แต่ใจเราคิดว่า เลี้ยงลูกมันเงียบ
ก็เลยคิดว่าให้เสียง มีกิจกรรมน่าจะดีกว่า เราก็ทำแบบนี้ไปเรื่อย จนน้องเจขวบกว่า (มั้ง)
ก็เริ่มมีโปสเตอร์มาให้น้องเจดูเป็นเล่มเลย ก็เห็นน้องเจชอบ ก็ยิ่งสอน แต่สอนแบบไม่คิดอะไร
สอนแบบเอามันส์ สอนแบบปูพื้นมากกว่า แต่ก็มีแปลไทยบ้าง เพราะตอนนั้นยังไม่รู้จักหนังสือนี้

รู้จักหนังสือเด็กสองภาษาฯ ได้ยังงัย (คำถามนี้แต่งเอง 555+)
จำได้ว่าไปเดิน Se-Ed เห็นหนังสือเด็กสองภาษาตอนเมษา’52 ที่คาร์ฟูชลบุรี หยิบเลย
ปกสีส้มสดใส (และมีเว็บไซต์ให้ด้วย) ก็เลยเปิดอ่าน รู้สึกว่าใช่เลยอะ อยากสอนน้องเจแบบนี้
ไม่ต้องตัดสินใจอะไรนาน …. ซื้อเลย เล่มแรก แล้วก็เข้ามาดูเว็บเลย (จำได้คลับคล้ายคลับคลา
ว่าอาม่าน้องเจเล่าให้ฟังว่าได้ดูรายการ ๆ นึง เด็กพูดภาษาอังกฤษเก่งมากเลย แล้วมาบอกเราว่า
อย่าลืมพูดกับน้องเจเยอะ ๆ นะ — ไอ้เราก็งงว่าก่อนหน้านี้ยังบ่นอยู่เลยว่าสอนน้องเจเยอะมาก
เดี๋ยวน้องเจก็เครียดหรอก หลังจากที่มีแรงสนับสนุน (และได้อ่านหนังสือด้วย) ก็ยิ่งสอน ๆ ๆ
โดยดึงเอาวิธีที่อ่านเจอในหนังสือแหละมาใช้กับน้องเจด้วย (คือเริ่มไม่แปลไทยแล้ว)

เริ่มฝึกตามแนวคิดเด็กสองภาษา ตอนเด็กอายุเท่าไหร่
น้องเจอายุ 2.9 ปี (ก่อนเข้าเรียนเตรียมอนุบาล) เราใช้ภาษาอังกฤษเยอะขึ้นอีกนิดทั้งศัพท์ วลี
และประโยคง่าย ๆ จนกระทั่งน้องเจไปเรียนแคมป์ปรับตัวน้องเตรียม บังเอิญมีคุณครูท่านนึง
เดินมาดูที่กรุ๊ปถามว่าคุณแม่สอนน้องเจปั้นอะไรอยู่คะ น้องเจเค้าตอบครูว่า one two three
คุณพ่อคุณแม่ของเด็กแต่ละคนก็สอนกันไปตามแบบฉบับของตัวเอง ส่วนเรา (ตอนอยู่บ้าน)
น้องเจเค้าชอบให้เราคลึงแป้งเป็นเส้น ๆ แล้วขดเป็นตัวอักษร น้องเจก็คงอยากให้เราขดเป็น
ตัวเลขก็เลยตอบครูไปอย่างงั้น ครูท่านนั้นหัวเราะในคำตอบน้องเจ (ปนงง) แล้วหันมาถาม
เราว่า คุณแม่สอนน้องเจเป็นเด็กอินเตอร์เหรอคะ เราตอบครูว่า ป่าวคะ 🙂

ระบบที่เลือกใช้ แล้วทำไมถึงเลือกใช้ระบบนี้
อ่านในหนังสือเล่มแรก แนะนำแบบ OPOL แต่เราก็ไม่ได้ใช้แบบนี้เต็มร้อย น้องเจไปโรงเรียน
ได้ซักอาทิตย์สองอาทิตย์เริ่มไม่อยากไปโรงเรียน ตอนแรกนึกว่าเกี่ยวกับการปรับตัวเข้ากับ
เพื่อน ครู และสังคม แต่เปล่าเลย น้องเจตอบว่า ไม่ไปเพราะว่ามะม๊าสอนได้ ครูสอนไม่สนุก
(เราเลยสันนิษฐานเองว่าน่าจะเป็นเพราะน้องเจถูกสอนมาเยอะแล้ว) ก็เลยปรึกษาครูประจำชั้น
ครูแนะนำให้เราใช้ภาษาอังกฤษกับน้องเจให้น้อยลงนิดนึง แกล้งไม่รู้บ้าง ครูแนะนำว่า
ให้เราเลือกใช้ภาษาอังกฤษกับน้องเจเป็นเวลาน่าจะดีกว่า ทางครูก็จะพาน้องเจให้คุ้นเคยกะ
T.David ทุกอย่างก็ใช้เวลาแต่เริ่มดีขึ้น น้องเจปรับตัวได้ มีความสุขมากขึ้น กล้าพูดทักทายกะ
Teacher (แทนอาการนั่งหันหลังให้ Teacher ทั้งที่ครูประจำชั้นบอกว่าครูรู้นะคะว่าน้องเข้าใจ)
และกล้า Give Me Five กับ Teacher เสียงดังฟังชัด 🙂 แล้วน้องเจก็ได้เริ่มเรียน Phonics
ที่โรงเรียนก็ตอนนี้เอง (พร้อม ๆ กะได้ดู Leap Frog ที่ชอบ ณ ตอนนั้น)

พอหนังสือเล่ม 2 ออก … เหมือนกับตอบโจทย์เลยว่าเรามาถูกทางแล้วที่เลือกใช้ OTOL
น้องเจขอไปเรียนบ้านครูตอน อ.1 เราจัดให้เลย เพราะสภาพแวดล้อมที่บ้านครูพร้อมกว่าเยอะ
(อย่างน้อยวันเสาร์อาทิตย์ที่น้องเจขอไปนั้น ทั้งวันต้องซึมซับภาษาอังกฤษมาไม่มากก็น้อย)
น้องเจได้เริ่มดู Caillou, Little Einsteins, และอีกหลายเรื่อง เราเริ่มได้ยินประโยคแปลก ๆ
(ที่เราไม่เคยพูด) จากปากน้องเจ มีศัพท์ไทยปนอังกฤษทับออกมาเวลาน้องเจไม่รู้บ่อยครั้ง
แต่เราก็ยังใช้ภาษาอังกฤษเหมือนเดิม (แต่ยังคงยั้ง ๆ ไว้ กันเหนียวกลัวปัญหาเดิมอีก)

เริ่มต้นอย่างไรแล้วเจออุปสรรคอะไรบ้าง แก้ปัญหาอย่างไร

  1. ทำการบ้านก่อนเลยว่าวันนี้จะสอนอะไร ดึงน้องเจเข้ามาในสิ่งที่เราจะสอน
    เราจะสอนทุกทักษะไปพร้อม ๆ กัน บางที (เลยเถิด) คิดศัพท์ไม่ออก ก็อาศัยวาดรูปให้ดู
    แสดงท่าทาง ชี้ของจริง หรือติดไว้ก่อนแล้วหาคำตอบมาให้ 🙂
  2. สภาพแวดล้อมไม่อำนวยในการฝึกเท่าที่ควร เพราะว่าเป็นร้านอาหาร มีลูกค้าเข้าออกบ่อย
    และเราสอนคนเดียวทุกวิชาทุกอย่าง จำเป็นต้องหาสื่อหรือตัวช่วย (บ้านครู) มาพยุงน้องเจ
  3. สะท้อนใจบางครั้งที่คำบางคำน้องเจรู้ศัพท์อังกฤษ แต่ไม่รู้ศัพท์ไทยถามเราว่า
    What is it in Thai? ทำให้ต้องปรับการสอนบ่อยครั้งเพื่อให้ลูกได้รู้ทั้งสองภาษา
    วันไหนสอนไทยก็สอนไทย วันไหนสอนอังกฤษก็สอนอังกฤษไม่ได้แปลนะ
  4. ความรู้ภาษาอังกฤษของเราปานกลาง พอพูดได้ และรู้ตัวด้วยนะว่าออกเสียงไม่ค่อยชัด
    (ติดพูดเร็ว) — กลัวน้องเจติดตามเรา แต่เท่าที่สังเกต น้องเจจะพูดสำเนียงชัดกว่าเรา
    น่าจะเป็นอานิสงส์จาก Phonics ที่ได้เรียนมาจากโรงเรียนและบ้านครู (เพราะเราไม่เคย
    สอน Phonics มาก่อนหน้านี้ เราเพิ่งแจมน้องเจไม่นานมานี้เอง 555+)
  5. และมีอีกหลายปัญหาที่ตอนนี้คิดไม่ออก คิดออกแล้วจะมาเพิ่ม 5555+

ระยะเวลาสอนจนเด็กเริ่มพูดโต้ตอบกลับเป็นภาษาที่สอง
อันนี้ไม่ได้สังเกตว่านานเท่าไหร่ เพราะน้องเจจะพูดตาม ชี้นกเป็นนกตลอด 5555+

เสี้ยวเวลาที่ลูกโต้ตอบกลับมาเป็นภาษาที่สองได้รู้สึกอย่างไร
สำหรับเรา เรารู้สึกดี และจะดีกว่านี้ถ้าเราจะทำหน้าที่ได้ดีกว่านี้ด้วย 🙂
กับคุณพ่อน้องเจและญาติ ๆ ก็เห็นเค้ายิ้มนะ และจะได้ยินอยู่เรื่อยว่าให้สอนไปเรื่อย ๆ
อาจจะไม่บอกว่ารู้สึกยังงัย แต่ก็ต้องรู้สึกดีบ้างที่ได้ยินภาษาอังกฤษจากปากน้องเจ
(ซึ่งถ้าเทียบกับสมัยเรา เรายังอาจจะนิ่งเงียบตอบไม่ได้ 555+)

คนรอบข้างมองอย่างไร เมื่อเห็นเราพูดภาษาที่สองกับลูก
มี 2 เหตุการณ์ที่ทำให้เรารู้ว่ามีคนสังเกตเราด้วย

  • ครั้งแรกตอนที่พาน้องเจไปตลาดน้ำดำเนินสะดวก เราลงเรือกัน น้องเจชี้นู่นนี่นั่น
    What’s this? What’s that? ตลอด (ฝรั่งก็เยอะ แม่ก็ตอบได้บ้าง
    ไม่ได้บ้าง … ขำตัวเองดี) บางทีที่รู้ศัพท์น้องเจจะพูดเองว่าอันนี้อะไร อันนั้นอะไร
    จนจะขึ้นจากเรือ ลุงคนที่มารับที่เรือ เค้าก็พูดภาษาอังกฤษกับน้องเจว่าลุงจะอุ้มขึ้นจากเรือ
    น้องเจไม่ยอมให้ใครแตะตัวโวยเป็นภาษาไทยออกมาว่า … ม่ายยยยย (ความแตกเลย 555+)
    ลุงบอกว่าตอนแรกนึกว่าลูกครึ่งไต้หวันหรือเกาหลี เพราะได้ยินพูดแต่ภาษาอังกฤษ 555+
  • กับอีกเหตุการณ์นึงคือตอนไปซื้อของที่โลตัส (ที่เคยเล่าในบล็อคก่อนหน้านี้นานแล้ว)
    ว่ามีคนถามว่า น้องเจพูดไทยได้รึป่าว …
  • และล่าสุดที่ไปรับสมุดพก อ.1 ได้มีโอกาสคุยกับครูประจำชั้น (ครูไทย) และ T.Pearl
    (ครูต่างชาติ) ครูบอกว่าน้องพูดภาษาอังกฤษเยอะและรู้ศัพท์เยอะมาก จะทำแบบฝึกหัดเอง
    และช่วยดูให้เพื่อนด้วย (บางครั้งก็ช่วย T.Pearl สอนเพื่อน ครูก็เหนื่อยน้อยลง 555+)
    ครูส่งเสริมด้วยการพูดกับน้องเจให้ด้วย เราเล่าถึงบางเหตุการณ์โดยเฉพาะเวลาที่
    น้องเจไม่ได้ดั่งใจอะไรซักอย่างให้ครูฟังด้วย เช่น อยากกินนมแล้วไม่หยิบเอง ใช้มะม๊าได้งัย
    น้องเจจะโวยดังมาก (และบ่อย) ว่า I want to drink milk. Mamy helps me please.
    Take two boxes of milk for me, please. พูดเร็วมาก บอกตรง ๆ ว่าครั้งแรกที่เราได้ยิน
    เราก็อึ้งนะ เพราะว่ามันเร็วมาก รวดเดียวด้วย ครูฟังเสร็จจบ ครูบอกว่า
    ทุกอย่าง…ฝังอยู่ในหัวน้องเจหมดแล้ว แล้วก็หัวเราะชอบใจกันทั้งสามคนเลย 🙂

สิ่งที่จะทำต่อไป (หลังจากอ่านเล่ม 3) — คำถามนี้คิดเองอีกแล้ว 5555+

  1. เรียนรู้เรื่อง Phonics มากขึ้น จะได้สอนน้องเจได้
  2. พูดให้ช้าลง พูดให้ชัด และ เคลียร์ มากกว่าเดิม (มาก ๆ)
  3. ห้ามขี้เกียจเด็ดขาด พยายามทำการบ้านแล้วสอนน้องเจต่อ
  4. จำเป็นต้องจัดการเวลาใหม่สำหรับสอนสองภาษาแบบฝึกวินัยและวิชาการ อ.2 ของน้องเจ

เขียนแค่นี้ก่อนจ้า … เอาไว้เตือนตัวเอง ว่ามีอะไรที่จะต้องทำอีกเยอะ ห้ามขี้เกียจ

เห็นม๊า … บอกแล้วว่าอ่านเด็กสองภาษาฯ เล่ม 3 แล้ว ย้อน “โดน” ตัวเองจริง ๆ 55555+

ปล. ถึงแม้ไม่ได้พูดอังกฤษกับน้องเจ 100% แต่ก็เห็นความเป็นธรรมชาติของน้องเจ
ตอนนี้จะ 5 ขวบแล้ว เริ่มมีรวน ไม่ยอมพูดอังกฤษ ทำให้ต้องคิด ๆ ๆ เทคนิคอื่น
เพื่อใช้ปราบน้องเจให้อยู่หมัด และยอมที่จะพูดอังกฤษกะเราต่อโดยดุษฎี! 555+