เขียนไป..ตามใจฉัน ตอน พ่อแม่คือสถาปนิคของลูก

Posted by พลอยชมพู on April 13, 2009 at 9:01pm

ไม่รู้ว่าเนื้อเรื่องจะซ้ำกับหนังสือของคุณพ่อมือใหม่รึเปล่า เพราะยังไม่ได้อ่านเลยค่ะ
จะกลับไทยอีก 3เดือนคงจะมีโอกาสไปอุดหนุนนะคะ วันนี้นึกอะไรได้ก็เขียนไปละกัน
นานๆ จะคิดได้ค่ะ ต้องรีบเขียนเดี๋ยวลืม จะเขียนบทความ เอ…เรียกว่าบทความได้เปล่าไม่รู้
จะว่าไปก็เขียนมันตามใจฉันเนี่ยแหละค่ะ

วันนี้อยากเขียนเรื่องของ “พ่อแม่คือสถาปนิคของลูก” จะไม่ขอพูดถึงการสร้างเด็กสองภาษา
ด้วยการนำไปเข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติ หรือ โรงเรียนสองภาษา พูดง่ายๆ จ้างคนอื่นสอนลูก
ตามตำหรับคนมีทุนทรัพย์มันเป็นเรื่องง่ายๆ จึงไม่ขอกล่าวถึงนะคะ

การสร้างเด็กสองภาษาด้วยสองมือของพ่อแม่นั้นหากประสบความสำเร็จย่อมมีความภาคภูมิใจมากกว่า
พ่อแม่ก็ภูมิใจในตัวลูกเพราะสร้างมากับมือของตนเอง ส่วนลูกก็ภูมิในในตัวพ่อแม่ไม่น้อยไปกว่ากันเลยค่ะ

เมื่อประมาณปี 2538-2539 หลานสาวของดิฉันอายุ 5-6 ขวบ อยู่ในวัยอนุบาลจะขึ้นประถม 1 แล้วหละ
ดิฉันก็ย่างเข้าวัยเบญจเพจ (อายุเท่าไหร่นับเอาเอง หุ หุ) รักหลานคนนี้มากๆ เอามาเลี้ยงเองเลยค่ะ สอนเธอ
อ่าน เขียนภาษาไทย จนเก่ง ก่อนที่เธอจะเข้าประถม จนวันนี้เวลาล่วงเลยมาสิบกว่าปี หลานสาวพูดเสมอว่า
“หนูไม่ลืมเลย คนที่สอนหนูอ่านออกเขียนได้ คืออา” (ดิฉันมีศักดิ์เป็น อา)

ดิฉันไม่ได้ยินเองหรอกค่ะ แต่เธอพูดกับญาติๆ ทุกคน เวลาสนทนากันถึงเรื่องราวตอนที่เธอยังเด็กๆ เลยมี
คนมาเล่าให้ดิฉันฟังอีกต่อ

พอได้ยินดังนั้น ดิฉันก็รู้สึกถึงความปิติยินดีมันตื้นตันอัดแน่นอยู่ในอก น้ำตาจะไหลค่ะ ผ่านวันเดือนปีมานานแค่ไหน
หลานสาวยังจำได้ คนที่ให้ความรู้เธอคนแรก ที่ไม่ใช่พ่อแม่ของเธอแต่กลับเป็น อา คนนี้

สิ่งนี้แหละค่ะ อยากจะให้คุณๆ มองให้ลึกๆ หากเด็กคนนี้ไม่ใช่แค่หลาน แต่เป็นลูกของเราเอง ความทรงจำของเขา
ในด้านดีๆ กับพ่อแม่ที่พยายามสร้างให้เขามีความสามารถทำอะไรก็แล้วแต่ ที่มีผลกับการดำรงชีวิตของเขา
จนถึงปัจจุบัน เขาจะไม่ลืมคนๆ นั้นเลย จะเรียกว่าเป็นความประทับใจที่ไม่มีวันลืมเลยก็ได้

หลานสาวคนนี้เรียนเก่งมากค่ะโดยเฉพาะช่วงประถมจนจบมัธยม เกรดเฉลี่ยเกือบ 4 ทุกปี ตอนนี้อายุ 19 ปี แล้ว
เธอเกิดวันสงกรานต์พอดี วันนี้เลยเขียนถึงซะหน่อย ปัจจุบันเรียนมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เธอว่าเรียนยากมาก
จะรอดรึเปล่าไม่รู้เด็กคนอื่นๆ ลาออกไปเกือบครึ่งห้องแล้ว

เอาหละมาเข้าเรื่องซะที

การสร้างคน สร้างเด็กสองภาษา สำคัญมากที่สุด คือ พ่อกับแม่นี่แหละค่ะ
ดิฉันอยากจะสมมติเปรียบว่า พ่อแม่ คือ “สถาปนิค” และ ความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษ
(หรือภาษาอื่น)ของลูก คือ “ตึก 1-10 ชั้น” ที่สถาปนิคต้องบรรจงสร้าง

ก่อนที่สถาปนิคจะสร้างตึก ต้องมาพิจารณา และถามตนเองก่อนว่า มีความรู้ความสามารถที่จะสร้างตึกแค่ไหน
จะสร้างยังไงแบบไม่ต้องไปจ้างคนอื่นให้เสียเงินเสียทอง และ “เป้าหมาย” จะสร้างสักกี่ชั้นในจำนวน 10 ชั้น

  1. สถาปนิค ที่ไม่มีความสามารถใดๆ เลย อย่าได้คิดสร้างตึกเด็ดขาด เพราะแค่พื้นฐาน
    การลงเสาผูกเหล็กก็ไปไม่รอดแล้ว
    วิธีแก้ไข: ไปเรียนพื้นฐานการสร้างตึกตั้งแต่ขุดหลุมตีเข็มใหม่เลยค่ะ พอเรียนแล้วค่อยมาคิดว่าจะสร้างกี่ชั้นดี
    สร้างตามความสามารถ
  2. สถาปนิค ที่มีพื้นฐานเล็กๆ น้อย สร้างตึกได้แค่ชั้นเดียว
    วิธีแก้ไข: ไปเรียนเพิ่มเติมว่าสร้างชั้นต่อไปทำอย่างไร หากจะสร้างสูง 10 ชั้น ก็ต้องเรียนให้ครบกระบวนการ
    แต่หาก “เป้าหมาย” แค่ 5 ชั้น ก็เรียนไปตามที่คิดว่าเท่านี้ก็พอใจแล้ว
  3. สถาปนิค ที่มีพื้นฐานปานกลาง สร้างตึกได้หลายชั้น แต่ไม่ถึงชั้นที่ 10
    วิธีแก้ไข: ตรงนี้คงไม่ต้องทำอะไรมาก อยู่ที่ความพอใจ หากคิดว่าสร้างได้ชั้นที่ 7-9 มันก็หรูแล้วก็ตามใจท่าน
    แต่หากคิดว่าจะเอาสุดๆ ไปเลย ก็คงเหมือนสถาปนิคท่านอื่นๆ ด้านบน ที่ต้องหาความรู้เพิ่มเติมอีกเล็กน้อย
    เผื่องานตบแต่งภายในให้เริ่ดๆ อีกหน่อยไงคะ
  4. สถาปนิค ที่เก่งเป็นเลิศ นอกจากจะสร้างตึก 10 ชั้นอย่างมั่นคงแข็งแรงแล้ว ยังตกแต่งภายในได้สุดอลังการ
    เป็นสถาปนิคที่เพอเฟ็คมาก ดังนั้น ผลงานออกมาก็สุดยอดเช่นกัน

ถามตนเอง ว่าตนเองเป็นสถาปนิคแบบไหน ทุกอย่างอยู่ที่ความพอใจ ว่าจะสร้างตึกแบบแข็งแรง หรือไม่
จะสร้างตึกสูงกี่ชั้น คุณเป็นเจ้าของตึกคุณย่อมรู้เป้าหมายของตนเองเป็นอย่างดี

แต่ดิฉันคิดว่า ไม่ว่าสถาปนิคท่านใด คงอยากจะสร้างตึก 10 ชั้น พร้อมตกแต่งเนียบๆ ทั้งนั้น จริงมั้ยคะ

ดิฉันอยากบอกว่า การที่จะสร้างตึกที่มีรากฐานแข็งแรงที่สุด สูงที่สุดเท่าที่สถาปนิคจะทำได้
ก็ต้องทำการบ้านหนักเรียนรู้เยอะ เหมือนกับการสร้างเด็ก 2 ภาษา หากพ่อแม่ไม่แกร่งทางด้านภาษาที่จะสอน
ก็ต้องหาความรู้เพิ่มเติมไม่หยุด ก็เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องที่ยากหากภาษานั้นๆ ตนเองไม่ใช่เจ้าของภาษา
แต่ไม่มีอะไรยากเกินความพยายามค่ะ

สำคัญมากๆ ของพ่อแม่ที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษ หรือได้เพียงเล็กน้อย ก็ต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเติ่มให้แก่ตนเอง

ลองคิดดู…สมมติว่า สถาปนิคต้องสร้างตึก 10 ชั้น ซึ่งเปรียบภาษาอังกฤษต้องเต็ม 10
v
v
v
วันที่ลูกเกิด 0 ขวบ ภาษาอังกฤษของพ่อแม่ได้ 3 /ภาษาอังกฤษของลูกได้ 0
วันที่ลูกอายุ 1 ขวบ ภาษาอังกฤษของพ่อแม่ ได้ 3 /ภาษาอังกฤษของลูกได้ 1
วันที่ลูกอายุ 2 ขวบ ภาษาอังกฤษของพ่อแม่ ก็ยังได้ 3 /ภาษาอังกฤษของลูกได้ 2
วันที่ลูกอายุ 3 ขวบ ภาษาอังกฤษของพ่อแม่ ก็ยังได้ 3 อยู่เช่นเดิม /ภาษาอังกฤษของลูกได้ 3 เท่าพ่อแม่

จะเห็นว่าหากพ่อแม่ไม่พัฒนาตนเอง เพียงไม่กี่ปีลูกก็เรียนรู้หมดไส้หมดพุงของพ่อแม่แล้วค่ะ
ไม่มีอะไรจะสอนลูกต่อไปละ แถมเป็นสถาปนิคที่สร้างตึกได้แค่ 3 ชั้น เท่านั้นเอง แต่ก็นั่นแหละ
หากเท่านี้พ่อแม่พอใจ ก็ถือว่าเสร็จสิ้นภาระกิจ ก็อยู่ที่ชั้น 3 แบบนั้นต่อไป รอสถาปนิครับจ้างสานต่อ
สร้างชั้นอื่นต่อไปก็ไม่ผิดค่ะ (หมายถึงลูกจะได้รับการสอนภาษาอังกฤษเพิ่มเมื่อเข้าโรงเรียน)

ตัวดิฉันเองโชคดีที่ได้สอนลูกภาษาไทย ซึ่งเราเป็นเจ้าของภาษา ส่วนพ่อสอนเยอรมัน ซึ่งเขาก็เป็น
เจ้าของภาษาเช่นกัน เลยไม่ยาก ไม่เคยเจอปัญหาเรื่องภาษา

แต่ตอนนี้ลูกเริ่มเรียนภาษาอังกฤษ ดิฉันเป็นสถาปนิคที่สร้างตึก(อังกฤษ) แค่ชั้นที่ 4-5 เท่านั้นเอง
ดิฉันก็ต้องลงคอร์สภาษาอังกฤษวุ่นวายไปหมด 2 คอร์ส ไปเรียนช่วงกลางคืน ก็คิดว่าเรียนไว้ใช้
สนทนากับลูกเป็นภาษาที่ 3

ลูกสาวดิฉันจะมีนิสัยแปลกอยู่นิดหนึ่ง คือ ไม่ว่าอะไรที่แม่ทำด้วย เขาจะทำอย่างสนุกและเอาจริงเอาจัง
แต่หากแม่ไม่ทำด้วย เขาจะไม่ค่อยกระตือรือร้น หรือไม่ค่อยมีความกระหายอยากเรียนรู้

เราเคยคุยกันว่า กลับไทยถาวรแล้ว อยากให้ พลอยชมพูไปเรียนศิลปะการต่อสู้ “มวยไทย” เอาไว้ป้องกันตัว
เพราะเธอชอบกีฬา คิดว่าน่าจะสนใจ หรือเรียนเอามันส์ก็ได้

เธอตอบว่า “หนูไม่เรียนหรอก ไม่ชอบ”
แม่พูดต่อ “อ่ะ ไม่เป็นไร ไม่อยากเรียน เดี๋ยวแม่ไปเรียนคนเดียวก็ได้”

พอได้ยินว่าแม่จะไปเรียน สีหน้าเธอที่ดูบิดเบี้ยวปากแบะ เปลี่ยนเป็นทำตาโต ฉีกยิ้มกว้างทันทีพร้อมกับพูดว่า
“หนูด้วยๆ หากแม่เรียน หนูก็เรียนด้วย”

ลูกเป็นซะอย่างนี้ แม่เลยต้องทำทุกอย่างร่วมด้วยช่วยกัน นี่คืออีกเหตุผลที่ทำให้ดิฉันต้องไปลงเรียนภาษา
อย่างน้อยก็เอาไว้คุยกันเล่นๆ กับลูกเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้ลูกพัฒนาภาษาที่ 3 มากยิ่งขึ้น

เด็กๆ หากจะเรียนรู้อะไรที่น่าเบื่อนั้น หากมีพ่อแม่เข้ามาร่วมด้วยมันอาจจะกลายเป็นเรื่องที่ท้าทายในทันทีก็ได้นะคะ

สรุปนะคะ

ดิฉันเป็นคนชอบดื่มกับเพื่อนๆ เวลาปาร์ตี้กับ เรามักจะพูดกัน

“อยากกินรินเอา อยากเมารินเอง”

ซึ่งก็คงไม่ต่างกับพ่อแม่สถาปนิคคนเก่ง หากอยากสร้างตึกให้สวยงามอลังการถูกใจตนเอง
ก็ต้องลงมือทำเองละ ไม่มีใครทำให้คุณได้ดีไปกว่าตัวคุณเอง บางครั้งแม้แต่เสียเงินจำนวนมาก
จ้างสถาปนิคมือโปร ก็ใช่ว่าจะถูกใจซะเมื่อไหร่ บางทีเสียเงินไปตั้งเยอะ แต่ก็แทบไม่ได้สิ่งที่ถูกใจเลย
เช่นเดียวกับการสอนลูกเป็นเด็กสองภาษาด้วยมือของตนเอง ได้สัมผัส ได้ใกล้ชิดลูก ได้เรียนรู้กันและกัน
มันช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนวิเศษและมีความสุขจริงๆ ค่ะ

นอกจากนั้นแล้ว ชีวิตวัยเด็กกับการเรียนรู้ของลูกที่มีพ่อแม่เป็นคนสอน จะตราตรึงในหัวใจของลูก
อย่างไม่มีอะไรมาลบเลือนได้เลยค่ะ มาช่วยกันสร้างความประทับใจให้กับลูกๆ ตัวน้อยของเรากันเถอะ

อุ๊ย เป็นบทสรุปที่ต๊องๆ ไปหน่อย มันจะเกี่ยวกับ “อยากเมารินเอง” กันมั้ยนี่ คริๆๆๆๆๆ

สุขสันต์วันสงกรานต์ 2552 ค่ะ มีความสุขกันถ้วนหน้านะคะ….